คลิปดารา ข่าวฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ แถลงข่าว ทำผู้หญิงท้อง แอนนี่ บรู๊ค 2

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ข่าวดารา

ลือหึ่งพระเอกสุดฮอต“ฟ.”มีลูกกับดาราสาวอ.





หลังร่วมงานละครปิ๊งในกองถ่ายฯสุดท้ายมาป่องนอกจอ เผยคุณแม่มือใหม่เลี้ยงดูเด็กตามลำพัง ไม่บอกว่าใครเป็นพ่อทารกน้อย


ดารา ฟ.งานเข้า ทำสาวท้องคลอดลูกแล้วไม่รับ ข่าวแพร่ระบาดเมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 15 ก.ย.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีกระแสลือจากทวิตเตอร์ เขียนข้อความระบุชัดเจนว่า พระเอกชื่อดังพลาดไปก่อเหตุฉาว ทำนักแสดงสาวคนหนึ่งอักษรย่อ “อ”ท้อง หลังจากที่เคยร่วมงานจากละครเรื่อง หนึ่งเพิ่งอออกอากาศจบไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ปัจจุบันดาราคนดังกล่าวได้คลอดทายาทให้กับพระเอกคนดัง อายุประมาณ 3 เดือนแล้ว ทั้งนี้นักแสดงสาวคนดังกล่าวได้ตั้งท้องและคลอดลูก และเลี้ยงดูเด็กเพียงลำพัง โดยไม่บอกว่าใครคือพ่อของเด็ก พร้อมกันนี้แม่ของดาราสาวพยายามติดต่อไปยังว่าที่ลูกเขย ให้มาเจาะเลือดตรวจอยู่หลายครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นพ่อของเด็กในท้องหรือไม่ แต่อีกฝ่ายปฏิเสธบ่ายเบี่ยงว่าติดงานมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตามทีมงานจากกองถ่ายละครที่ทั้งสองเล่นด้วยกัน ให้ข้อมูลว่า ในช่วงที่ถ่ายทำละครอยู่นั้นดาราสาวคนดังกล่าวได้มีความสนิทสนมกับนักร้องหนุ่มอย่างเห็นได้ชัด เชื่อว่าข่าวที่แพร่สะพัดออกไปเป็นความจริง หลังได้ข้อมูลผู้สื่อข่าวพยายามโทรศัพท์ติดต่อสอบถามไปคุณพ่อมือใหม่ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ขณะที่ต้นสังกัดดาราหนุ่มทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะมีงานแถลงข่าวความจริงในเร็วๆนี้ โดยดาราหวานใจสาวๆ ยังเก็บตัวเงียบไม่ออกมาเปิดเผยรายละเอียดแต่อย่างใดล่าสุดมีรายงานว่า ดารา ฟ.ทราบข่าวฉาวที่เกิดขึ้นแล้ว เบื้องต้นเจ้าตัวพร้อมต้นสังกัดจะเปิดแถลงข่าวในวันที่ 16 ก.ย.นี้



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บทความเพื่อสุขภาพที่น่าสนใจ


- ผลไม้ไทย ต้านมะเร็ง
- ว่ายน้ำเพื่อสุขภาพ
- แอโรบิคเพื่อสุขภาพ
- อาหารเพื่อสุขภาพ
- ฟิตเนสเพื่อสุขภาพ
- โยคะเพื่อสุขภาพ

................................



การรักษาสุขภาพร่างกาย

คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ความจำแทนที่ จะเพิ่มขึ้นแต่
กลับลดลง สำหรับคุณๆ ที่กลัวว่าจะกลายเป็นคนอัลไซเมอร์ ควรจะ เลือกรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มความจำค่ะ อาหารที่มีประโยชน์ ในการ บำรุงสมองนั้น จำพวกผัก ได้แก่ บรอกโคลี่มะเขือเทศ เมล็ด ฟักทอง ส่วนธัญพืชต่างๆ ได้แก่ รำข้าว ข้าวซ้อมมือ
ไขมันจาก ปลา ซีเรียลถั่ว บูลเบอร์รี่ อาหารจำพวกนี้ล้วนแต่ ช่วย บำรุงสมองทำให้ความจำดีขึ้นค่ะ การรักษาสุขภาพร่างกายให้หุ่นดีด้วยการบริหารการ กิน ทำได้ยาก เหลือเกิน เพราะจะต้องควบคุมในเรื่องของการรับประทาน ไป หมด แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณหุ่นสวยได้โดยไม่ต้องงดอาหาร ก็ คือ ให้ัรับประทานอาหารเ่ช่นเดิม แต่ให้หันมาใส่ใจความรู้สึก ให้มาก ขึ้น เมื่อคุณรู้สึกอิ่มเมื่อไหร่ให้คุณหยุดทานทันที ในสังคมปัจจุบันนี้เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่คนส่วนใหญ่มิได้ให้ความสำคัญ กับอาหาร เช้า เนื่องจากต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาเพื่อไปเรียน หรือ ไปทำงาน คนไทยเราจะให้ความ สำคัญกับอาหารเย็น เน้นว่าเป็นมื้อที่ต้องรับประทาน อาหารหนักๆ มากกว่า มื้ือกลางวัน ส่วนมื้อเช้านั้นบางคนข้ามไปเลย บางคนก็ดื่มกาแฟเพียง 1 ถ้วยเท่านั้น สังเกตให้ดีจะพบว่าคุณจะรู้สึกไม่สดชื่น กระปรี้ กระเปร่า ถ้ามื้อเช้าคุณไม่ได้ให้สารอาหารที่ร่างกายต้องการ คือ อาหารโปรตีนสูงและ ไขมันอย่างพอเพียง อาหารเช้าที่หนักเกินไปก็เป็นเรื่อง ที่ไม่ถูกต้อง ร่าง กายต้องการเพียงสารอาหารที่ครบถ้วนในปริมาณไม่มากนัก เพื่อที่คุณจะได้มี กำลังวังชา สมองปลอดโปร่ง กระปรี้กระเปร่า พลังงานจะอยู่ ในร่างกายคุณเป็นเวลา นานและทำให้คุณไม่หิวบ่อยถ้าได้รับประทานอาหารเช้าที่ดี



เคล็ดลับสุขภาพดี

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ผลไม้ไทย ต้านมะเร็ง



ผลไม้ไทยมีสารต้านมะเร็ง

กรมอนามัย วิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้ ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ

มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
มะเขือเทศราชินี
มะละกอสุก
กล้วยไข่
มะม่วงยายกล่ำ
มะปรางหวาน

แคนตาลูปเนื้อเหลือง
มะยงชิด
มะม่วงเขียวเสวยสุก
สับปะรดภูเก็ต



ผลไม้ทั้งหมดนี้มีสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

• ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย คือ แก้วมังกร มะขามเทศ มังคุด ลิ้นจี่ และสาลี่

• ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูง คือ ฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เม็ด มะขามป้อม มะขามเทศ เงาะโรงเรียน ลูกพลับ สตรอเบอร์รี่ มะละกอสุก ส้มโอขาว แตงกวา และพุทราแอปเปิล

• การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรก คือ ขนุนหนัง มะขามเทศ มะม่วงเขียวเสวยดิบ มะเขือเทศราชินี มะม่วงเขียวเสวยสุก มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงยายกล่ำ แก้วมังกรเนื้อสีชมพู สตอเบอร์รี่ และกล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของอาหารสารที่ช่วยกำจัด อนุมูลอิสระ ที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด





ว่ายน้ำเพื่อสุขภาพ





การว่ายน้ำเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาใช้ออกกำลังเพื่อสุขภาพได้ โดยทั่วไปเมื่อพูดถึงการว่ายน้ำ เรามักจะคิดถึงการลงไปแช่ในสระว่ายน้ำ หรือลำคลอง ว่ายไปว่ายมาสักเที่ยวสองเที่ยว แล้วก็เกาะขอบสระคุยกัน หรือกระเซ้าเย้าแหย่กัน อย่างนั้นก็เป็นการว่ายน้ำเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่ายเพื่อออกกำลัง ควรเรียกเป็นการเล่นน้ำ เพื่อความสนุกสนานมากกว่า ถ้าจะว่ายให้เป็นการออกกำลัง เพื่อสุขภาพจริง ๆ ควรยึดหลัก เช่นเดียวกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอื่น ๆ คือมีความหนักพอ, นานพอ และติดต่อกัน

ท่านผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์นี้ คงพอรู้ว่าผู้เขียนหมายถึงอะไร แต่เพื่อความเข้าใจตรงกันขออธิบายสั้น ๆ อีกที
ความหนักพอ คือ (ออกกกำลัง จน) ชีพจรเต้นถึงชีพจรการฝึก (training heart rate) ซึ่งเท่ากับ 60-80 เปอร์เซ็นต์ของชีพจรสูงสุด
ชีพจรสูงสุดคิดจาก 220- อายุ เช่น นาย ก. อายุ 40 ปี มีชีพจรสูงสุด = 220 – 40 = 180 ครั้ง/นาที
ดังนั้นชีพจรการฝึกของ นาย ก. เท่ากับ 60-80 เปอร์เซ็นต์ของ 180 หรือ = 108 – 144 ครั้ง/นาที

ความนานพอ คือ อย่างน้อย 20 นาทีขึ้นไป

ความติดต่อกัน คือต้องออกกำลังต่อเนื่องให้ชีพจรเต้นในเกณฑ์ชีพจรการฝึกอยู่ตลอดเวลาของการออกกำลังกาย

ดังนั้น ผู้ที่จะว่ายน้ำให้เป็นแอโรบิกได้ จึงต้องสามารถว่ายน้ำต่อเนื่องกันได้นาน ๆ อย่างน้อย 20 นาทีขึ้นไป ถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายท่านอาจส่ายหน้า ว่ายน้ำนี่สองทีก็เหนื่อยแล้ว จะว่ายยังไงเป็นสิบ ๆ นาที มีหวังจมน้ำตายเสียก่อน ผู้เขียนเอง เมื่อก่อนก็มีความคิดเช่นนั้น และมองผู้ที่ว่ายน้ำกลับไปกลับมา จากขอบสระหนึ่งไปอีกขอบสระหนึ่ง ด้วยความอัศจรรย์ใจ, ร่ำ ๆ จะนึกว่า คนพวกนี้เป็นมนุษย์มหัศจรรย์ไป ต่อเมื่อได้มาฝึกฝนจนสามารถทำได้ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ๆ นี่เอง ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ เช่นเดียวกับการวิ่งเหยาะๆ ยาว ๆ ซึ่งเมื่อก่อนนี้ดูเป็นสิ่งที่นอกเหนือความสามารถ อย่างไรก็ดี การว่ายน้ำมีข้อจำกัด ตรงที่ไม่มีใครเป็นมาแต่อ้อน แต่ออกเหมือนการวิ่ง ยิ่งถ้าจะว่ายกันให้ได้นาน ๆ จะใช้ท่ามวยวัด หรือที่เรียกว่า “วัดวา” แล้วไม่มีทางสำเร็จ
เพราะเหตุใด?
คำตอบง่าย ๆ คือ เราจะเหนื่อยจนหมดแรงเสียก่อน เนื่องจากท่านี้ต้องใช้กำลังมากกว่าปกติ เพราะเราไม่ได้ว่ายไปตัวเปล่า ๆ แต่แบกเอาน้ำหนัก 3-5 กิโลกรัมไปด้วย อย่าเพิ่งนึกว่าผู้เขียนเพี้ยน มีอย่างที่ไหน ไม่เคยเห็นใครว่ายน้ำแล้วแบกน้ำหนักด้วยสักที ศีรษะของเราไงล่ะครับ ท่าวัดวาอาศัยศีรษะโผล่พ้นน้ำตลอดเวลา จึงเหมือนกับว่า เราว่ายน้ำไปแบกของ (คือหัวของเรา) ให้โผล่พ้นน้ำไปด้วย และหัวของเราแต่ละคนหนัก 3-5 กิโลกรัมทีเดียว แบบนี้มันจะไม่เมื่อยและเหนื่อยอย่างไรไหว ถ้าเราปล่อยให้ศีรษะจมน้ำเสีย น้ำหนักส่วนเกิน 3-5 กิโลกรัมก็จะหายไป เพราะน้ำจะเป็นตัวรับน้ำหนักหัวเราไว้ไม่เชื่อไปสระคราวหน้า ลองนอนคว่ำหน้า กางแขน กางขา ให้ตัวลอยอยู่ในน้ำนิ่ง ๆ จะเห็นว่า เราสามารถลอยน้ำได้โดยไม่ต้องออกแรงอย่างใดเลย แต่เมื่อขยับศีรษะให้โผล่พ้นน้ำ ตัวเราจะจมลงไปทันที ทั้งนี้เพราะน้ำหนักหัวเรากดลงมานั่นเอง

ฉะนั้น หัวใจของการว่ายน้ำได้ทน คือให้น้ำรับน้ำหนักตัวของเราไปเสียทั้งหมด เราเพียงแต่ออกแรง เพื่อเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องพะวงกับการตะกุยตะกายเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อกันไม่ให้ตัวจม



แอโรบิคเพื่อสุขภาพ






แอโรบิคด๊านซ์ เป็นกิจกรรมการออกกำลังกายที่ดัดแปลงและปรับปรุงใหม่ โดยชาวอเมริกัน ชื่อ ๋Jackie Soreson ในปีค.ศ. 1979 โดยเข้ามาในไทยเมื่อปีพ.ศ. 2522 โดยสถานบริหารร่างกายเวิลด์คลับ
การเต้นแอโรบิค ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมากและสม่ำเสมอ โดยการเต้นแอโรบิคจะเป็นการออกกำลังกายโดยนำท่ากายบริหาร การเต้นรำ การเคลื่อนไหวพื้นฐาน เช่น เดิน วิ่ง กระโดด มาผสมผสานกันเป็นท่าชุดเต้นไปตามจังหวะเพลง ซึ่งเพลงที่ใช้จะต้องมีจังหวะเร็วสนุก เช่น เพลงดิสโก้ เป็นต้น
ประโยชน์ที่ได้รับจากการออกกำลังกายโดยการเต้นแอโรบิคมีหลายประการด้วยกัน คือ ช่วยสร้างความอดทนของระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้ร่างกายมีความอดทนมากขึ้น เหนื่อยช้าลง ทำให้รูปร่างและทรวดทรงดี สนุกสนานร่าเริง หายจากความตึงเครียด ช่วยสร้างความแข็งแรงและความอดทนของกล้ามเนื้อ และยังทำให้ร่างกายมีความอ่อนตัวดีมากขึ้น

ประเภทของการเต้นแอโรบิค

1.แบ่งตามแรงกระแทก
- การเต้นแบบย่อยืดขา โดยไม่มีการยกหรือกระโดด เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพและผู้สูงอายุ
- การเต้นที่มักจะให้มีขาข้างหนึ่งติดพื้นเสมอซึ่งจะลดการกระแทก เน้นการใช้ร่างกายส่วนบนมากขึ้น เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
- การเต้นซึ่งมีการกระแทกของเท้าต่อพื้นอย่างรุนแรง ไม่เหมาะกับผู้ที่มีสมรรถภาพร่างกายไม่ดีพอ ปัจจุบันไม่นิยมเต้นกัน
- การเต้นที่ผสมระหว่างการเต้นแบบย่อยืดขาและการเต้นซึ่งมีการกระแทกของเท้าต่อพื้นอย่างแรง มีการวิ่งกระโดดขย่ม เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงและวัยหนุ่มสาว

2.แบ่งตามลักษณะของผู้เต้น
- ผู้ที่ไม่เคยเต้นแอโรบิคมาก่อน การฝึกเป็นการฝึกเทคนิคการเคลื่อนไหวร่างกายพื้นฐาน มีการฝึกระบบประสาทและกล้ามเนื้อบ้าง เพลงช้าใช้เวลาประมาณ 30 นาที ความหนักของการเต้นประมาณ 60% ของชีพจรสูงสุด
- ทำการเปลี่ยนท่าทางต่างๆได้อย่างราบรื่นและซับซ้อนมากชึ้น เล่นนานขึ้น เร็วขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง และออกกำลังกายเป็นประจำ ใช้เวลาประมาณ 45นาที ความหนักของการเต้น 70 % ของชีพจรสูงสุด
- ขั้นผู้มีความชำนาญและมีประสบการณ์ มีความยากและซับซ้อน ใช้เวลาในการเล่นครั้งละ 45-60 นาที ความหนักของการเต้นประมาณ 80-90% ของชีพจรสูงสุด

การเต้นแอโรบิคแบบอื่นๆ

- การเต้นแอโรบิคโดยมือถือแฮนด์เวท เพื่อสร้างความแข็งแรงกล้ามเนื้อส่วนบน
- การเต้นแอโรบิคโดยมือถือ Xer-Tube ขณะเต้นใช้มือจับปลาย 2 ข้าง ใช้เท้ากดลงตรงกลางเพื่อสร้างความแข็งแรงกล้ามเนื้อส่วนบน
- การเต้นแอโรบิคด้วยการก้าวขึ้นลงบนแท่นที่เหมาะสมไปพร้อมกับเสียงดนตรีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบหัวใจ เหมาะสำหรับผู้ออกกำลังกายทุกเพศทุกวัย
- การเต้นแอโรบิคโดยการนำการเดิน การวิ่ง กระโดด ทวิชและการเตะเท้าในน้ำมาประกอบกับเสียงดนตรี เรียกว่า Aquarobics ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบหายใจและไหลเวียนโลหิต

ขั้นตอนในการฝึกเต้นแอโรบิค
มี 3 ช่วง ได้แก่
1.ช่วงเตรียมความพร้อม
ประกอบด้วย การบริหารข้อต่อสัดส่วนต่างๆของร่างกายและการยืดกล้ามเนื้อในช่วงนี้ควรจะมีชีพจรเต้นอยู่ระหว่าง 100 ครั้งต่อนาที ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที
2.ช่วงแอโรบิค
จำเป็นต้องแบ่งความหนักเบาของกิจกรรม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของผู้เข้าร่วมจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ชีพจรขณะเต้น ประมาณ 60-80% ของชีพจรสูงสุดและจะต้องคำนึงถึงลักษณะและชนิดของการเคลื่อนไหวเป็นหลัก คือให้ทุกส่วนของร่างกายได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
3.ช่วงผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
เป็นการบริหารกายเฉพาะส่วนและเป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ โดยเน้นที่การยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างช้าๆ เพื่อเข้าสู่ภาวะปกติ การผ่อนคลายจะหยุดค้างในท่านั้นๆประมาณ 5-20 วินาที ส่วนชีพจรควรต่ำกว่า 100 ครั้งต่อนาที







อาหารเพื่อสุขภาพ






10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี
ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้






ฟิตเนสเพื่อสุขภาพ



โดยทั่วไปการออกกำลังกาย หลายๆ คนอาจจะใช้ลานกีฬา ลานเต้นแอโรบิค หรือวิ่งออกกำลังกายตามสวนสาธารณะ แต่ในปัจจุบันที่ชีวิตคนเมืองได้เปลี่ยนไป ทำให้การออกกำลังกายตามฟิตเนสได้รับความนิยม มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทราบหรือไม่ว่า บ่อยครั้งที่การไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสนั้น หลายๆ คนกลับไม่ได้ผลลัพท์เป็นที่น่าพอใจ วันนี้ Ladytip.com จะนำเสนอวิธีเล่นฟิตเนสอย่างไรให้ได้ผลค่ะ
หลายคนเคยเข้าใจว่า การไปเล่นฟิตเนสนั้น ก็แค่ไปวิ่งๆ โยกๆ ตามเครื่องต่างๆ โดยหารู้ไม่ว่า จริงๆ แล้ว การออกกำลังกายให้ได้ผลนั้น นอกจากระยะเวลาในการเล่นต่อครั้งที่ต้องเหมาะสมแล้ว ยังต้องคำนึงถึงผลที่ได้เมื่อเทียบกับเป้าหมายของเราอีกด้วย เช่น เป้าหมายในการลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน หรือเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ดังนั้นการเล่นฟิตเนสจึงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ตามเป้าหมายดังนี้

1. เป้าหมายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง หัวใจทำงานได้ดี หรือเพิ่มกล้ามเนื้อ

เริ่มจากการวอร์มร่างกาย อาจจะใช้ลู่วิ่ง หรือปั่นจักรยาน ประมาณ 15 - 30 นาที เพื่อกระตุ้นให้หัวใจได้ทำงานดีขึ้น ช่วงเวลานี้ ท่านจะรู้สึกได้ว่า เหงื่อจะเริ่มออก โดยเฉพาะในช่วง 5 นาทีแรก บางคนอาจจะรู้สึกว่าหายใจไม่ทัน ต้องหายใจทางปากแทน อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากว่าหัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย ซึ่งปกติคนทั่วไป มักจะหายใจสั้นๆ ทำให้ได้รับออกซิเจนได้น้อย การที่เราให้อัตราเต้นของหัวใจทำงานเร็วขึ้น ก็เป็นการออกกำลังให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง และสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้นด้วยค่ะ
หลังจากนั้นหากต้องการเล่นพวกเครื่องออกกำลังกาย ก็สามารถทำได้ค่ะ โดยหากเป้าหมายคือเพื่อสุขภาพ ขอให้เล่นด้วยน้ำหนักไม่มากเกินไป (เอาพอดีๆ ) เล่น 3 เซต โดย 1 เซตจะต้องเล่น 15-20 ครั้ง แต่หากต้องการสร้างกล้าม ประมาณอยากได้แบบล้ำๆ บึกๆ ก็ต้องเน้นน้ำหนักที่เล่นที่มากกว่าปกติ แต่ลดจำนวนครั้งต่อเซตให้เหลือ 8-15 ครั้งแทนค่ะ

2. เป้าหมายเพื่อลดน้ำหนัก และกระชับสัดส่วน

เป็นการเน้นการเผาผลาญไขมัน อาจจะใช้ลู่วิ่ง การปั่นจักรยาน รวมไปถึงอุปกรณ์ประเภท Cross Training ต่าง ที่สำคัญคือ ระยะเวลาในการออกกำลังควรจะใช้ประมาณ 30 - 60 นาที เพราะหากน้อยกว่า 30 นาที จะเป็นเพียงแค่การวอร์มร่างกายเท่านั้น ภายใน 30 นาทีแรก พลังงานต่างๆ ที่เราใช้ไป จะเป็นการเอาคาร์โบไฮเดรตในวันนั้นที่เราทานเข้าไปมาใช้ ดังนั้นหากต้องการให้ร่างกายดึงเอาไขมันมาใช้ ต้องออกกำลังกายนานกว่า30 นาทีขึ้นไปค่ะ
เทคนิคในการเพิ่มระยะเวลาในการออกกำลังกายคือ ให้ค่ยยๆ เพิ่ม เช่น วันนี้ปั่นจักรยาน 30 นาที พรุ่งนี้เพิ่มเป็น 31 นาที ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ร่างกายจะสามารถปรับตัวได้ดีกว่า เพราะหากไปโหม หรือเร่งในวันแรกๆ อาจจะทำให้ร่างกายบาดเจ็บได้ หากลดน้ำหนักโดยการเน้นการเผาผลาญอย่างเดียว น้ำหนักที่ลดลงไปได้ก็จริง แต่รูปร่างที่มองด้วยสายตาภายนอก อาจจะไม่กระชับ ดังนั้นหากต้องการลดน้ำหนักและมีรูปร่างที่เพรียวจะต้องให้กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ได้ใช้งานมากขึ้นด้วยการเล่น weight ค่ะ การเล่น weight จะทำให้มัดกล้ามเนื้อต่างๆทำงาน และมีความแข็งแรง กระชับได้สัดส่วนมากขึ้น
สำหรับผู้หญิง การเล่น weight เพื่อกระชับสัดส่วน จะต้องเล่น 3 เซต โดย 1 เซตจะต้องเล่น 15-20 ครั้ง น้ำหนักที่ใช้จะต้องเหมาะสมด้วย ไม่มากไปหรือน้อยไป โดยขึ้นอยู่กับว่า เราจะเล่นในส่วนไหน เช่น แขน ขา สะโพก แต่ละส่วนก็จะรับน้ำหนักได้ไม่เท่ากัน ส่วนสำหรับผู้ชาย หากต้องการแค่กระชับ ก็เล่นเหมือนกับผู้หญิง แต่ว่าควรเพิ่มน้ำหนักให้เหมาะสมกับตัวเองด้วยค่ะ
นอกจากการเล่น weight แล้ว หากเพื่อนๆ ต้องการเปลี่ยนแนว เพื่อไม่ให้เบื่อ ก็สามารถออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิค หรือ โยคะ ได้ค่ะ ซึ่งนอกจากจะเป็นกระชับกล้ามเนื้อแล้ว ยังทำให้กล้ามเนื้อมีการยืดหยุ่นมากขึ้นอีกด้วยค่ะ



โยคะเพื่อสุขภาพ



การออกกำลังกายสามารถทำได้หลายวิธี และอีกหนึ่งวิธีที่กำลังเป็นที่นิยมนัานก็คือ การเล่นโยคะ ซึ่งท่าอาสนะต่าง ๆ นั้นมีผลโดยตรงต่อต่อมต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ขับสารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย รวมถึงอารมณ์ โดยการฝึกโยคะนั้นจะสามารถทำให้อารมณ์ของเราแจ่มใส มั่นคง มีสมาธิมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีผลต่อกระดูกสันหลังซึ่งเป็นศูนย์รวมของประสาท ทั้งทำให้กระดูกสันหลังโค้งอ่อนอย่างที่อยู่ในวัยเด็กได้ด้วย โดยสรุปคือ โยคะทำให้ดูอ่อนกว่าวัย และดูสวยงาม ตั้งแต่เส้นผมถึงเท้า วันนี้เราก็เลยมีตัวอย่างการทำโยคะบางท่ามาบอกกัน ซึ่งเป็นท่าที่บริหารในส่วนของใบหน้า ดวงตา ผม และลำคอ ..

การบริหาร ผม ดวงตา ใบหน้า และลำคอ

เราจะเห็นอวัยวะส่วนนี้ทุกวันด้วยการส่องกระจก เราทุ่มเททั้งเวลาและเงินทองดูแลเป็นอันมากด้วยเครื่องสำอางโดยหวังว่าสามารถบำรุงอวัยวะส่วนนี้ได้ แต่เราขาดการบริหารอย่างถูกวิธี เสนอการบริหารตามวิธีโยคะดังนี้

1.การบริหารผม ผมอนุโลมเข้าเป็นพืชชนิดหนึ่ง พิสูจน์ได้จากคนตายไปแล้วแต่เล็บ เครา ก็ยังไม่ตาย จะให้ผมมีสุขภาพสมบูรณ์ก็จำเป็น ต้องบริหารโดยให้นึกว่า หนังศรีษะคือพื้นดินผมจะต้องพรวนดินอยู่เสมอ

วิธีปฎิบัติ นั่ง หรือยืน ก้มหน้า กำผมทั้ง 2 มือ ดึงแรง ๆ ให้ทั่วศรีษะ 25 ครั้งเงยหน้าทุกครั้ง ทำทุกวันก่อนหวีผมตอนเช้า แรก ๆ จะรู้สึกเจ็บเพราะรากผมยังไม่แข็งแรง การที่กลัวว่าผมจะร่วงอยู่แล้วแม้จะไม่ดึง แต่ถ้าปฎิบัติทุกวันภายใน 2 สัปดาห์ ผมจะสลวยเป็นมันผมแห้งแตกปลายรังแค กระทั่งผมบางจะทุเลา เพราะหนังศรีษะจะมีสุขภาพดีขึ้น นอกจากนั้น จะช่วยดึงใบหน้า คลายความเครียดได้อีกด้วย

2.การบริหารใบหน้า (ควรปฎิบัติกับกระจกเงา)

ใบหน้าจะเต่งตึงก็ต้องบริหารกล้ามเนื้อข้างใน เครื่องสำอางช่วยอะไร แทบไม่ได้บางทีมีอันตราย การบริหารใบหน้ามีดังนี้

2.1 ท่าสิงโต

วิธีปฎิบัติ นั่งคุกเข่าบนเท้าทั้ง 2 ข้าง ตัวตรง กางนิ้วมือบนเข่าแอ่นตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย อ้าปากให้กว้างที่สุด มือกางเกร็งแลบลิ้นออกมาให้ยาวที่สุด อยู่ในท่านี้ 2-3 วินาที กลับพร้อมหดตัวลงผ่อนคลาย ทำท่านี้ 5-7 ครั้ง ทำที่หน้ากระจกก็ได้

ประโยชน์ ทำให้ใบหน้าและคอตึงขึ้น แก้คางสองชั้นลง และป้องกันรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เลือดฝาดขึ้น แก้ทอนซินอักเสบ เสียงดีมีกังวานเหมาะกับผู้ประกอบอาชีพทางใช้เสียงเช่น ครู อาจารย์ นักร้อง เป็นต้น

2.2 ท่าอมลม นั่งแบบท่าที่ 2.1 หรือขัดสมาธิ ทำความรู้สึกเหมือนมีน้ำในปากแล้วเราก็อมไปซ้าย-ขวา เป็นวง เวียนซ้ายอมไปขวา ขวาไปซ้าย เท่า ๆ กัน เบิ่งตา จนกระทั่งรู้สึกเมื่อยที่กระพุ้งแก้ม หากมีฟันปลอมให้ถอดออก พยายามทำท่านี้เสมอเมื่อมีโอกาสนอกจากนั้นให้ทำหน้าบดเบี้ยว ซ้าย-ขวา อ้าปากกว้าง ปากจู๋ แบบตัวตลกจนรู้สึกเมื่อยไปทั่วหน้า

2.3 ลบตีนกา ตาหวาน นั่งเหมือน ท่า 2.1 สองมือถูบนผ้าที่หน้าขาจนรู้สึกร้อนทำทีเอามือทั้ง 2 ข้างไปปิดตาซ้ายขวา กรอกตาซ้ายขวาขึ้นลงสัก 2-5 วินาที แล้วลูบแรง ๆ ไปทางหางตา ขณะปิดตาให้ผ่อนคลายประสาท ปฎิบัติ 5-7 ครั้งด้วย และหายใจลึก ๆ










Nu puy zzi

ปฏิทิน